9 ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด ยิ่งกินยิ่งได้ประโยชน์
ขึ้นชื่อว่าวิตามินทุกคนก็อาจจะคุ้นหูและคุ้นเคยกันอย่างยิ่งโดยเฉพาะวิตามินซี หลายคนเชื่อว่าการรับประทานวิตามินซีนั้นจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานทำให้ไม่เป็นหวัดได้ง่าย หรือบ้างเชื่อว่าวิตามินช่วยบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใสไม่แก่ก่อนวัย อีกทั้งการได้รับวิตามินซีนั้นก็มีให้เราเลือกหลายหลายช่องทาง ไม่ว่าจากการกินยาวิตามินเสริม ฉีดเข้าเส้นเลือด ครีมแบบทา หรือง่าย ๆ หาได้จากธรรมชาติในชีวิตประจำวันอย่างผักและผลไม้ ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด นั้นมีอะไรบ้างนะ แต่เรามาทำความรู้จักกับวิตามินแบบคร่าว ๆ กันดีกว่า
วิตามินซีคืออะไร มีประโยชน์ด้านใด
วิตามินซี (Vitamin C) มีอีกชื่อคือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินชนิดละลายได้ในน้ำ มีโมเลกุลคล้ายน้ำตาลกลูโคสเป็นผลึกสีขาวมีรสเปรี้ยวอีกทั้งเป็นวิตามินที่สลายตัวได้ไวที่สุดกว่าวิตามินอื่น ๆ ทำให้มีความไวต่อปฎิกิริยา Oxidation (ความไวอากาศ) ฉะนั้นในสภาพแวดล้อมที่ร้อน แสงแดดจัด ก็ส่งผลให้วิตามินเสื่อมสภาพได้เช่นกัน
ประเภทของวิตามินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) ที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ
- กรดดีไฮโดรสคอร์บิก (Dehydroascorbic acid) เป็นสารสกัดสังเคราะห์ในรูปแบบเสริมอาหารป้องกันสภาวะการขาดวิตามิน มีความระคายเคืองกระเพาะน้อยกว่ากรดแอสคอร์บิค เพราะเป็นแบบผลึกเหลือและมีกรดที่น้อยกว่ามาก
จากที่กล่าวไปเบื้องต้น ในร่างกายของมนุษย์นั้นไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีเองได้ ทำให้วิตามินประเภทนี้จัดว่าเป็นวิตามินจำที่เป็นต่อร่างกาย จึงต้องรับประทานจากอาหารเสริม หรืออาหารทั่วไปทุก ๆ วัน
ประโยชน์ของวิตามินซี มีอะไรบ้าง ?
- เริ่มตั้งแต่เป็นวิตามินตั้งต้นในการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ซึ่งคอลลาเจนนี้เป็นโปรตีนที่สร้างเนื้อเยื่อตั้งแต่ผิวหนังภายนอกจนไปถึงเยื่อหุ้มอวัยวะภายใน หรือกระดูกอ่อนของร่างกาย ช่วยซ่อมแซมร่างกายในส่วนที่สึกหรอ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคลอเรสเตอรอลของร่างกาย เปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี เร่งปฏิกิริยาของน้ำย่อย ทำให้ปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลง ส่งผลให้เกิดเปอร์เซ็นต์เกิดโรคไขมันอุดตันที่น้อยลงไปด้วย
- ช่วยร่างกายในการหลั่งฮอร์โมนเมื่อเกิดความเครียดจากต่อมหมวกไต
- ช่วยกระตุ้นการผลิต อินเตอร์เฟียรอน (Interferon) ทำหน้าที่เป็นตัวที่ทำให้เกิดตัวที่ต่อต้านเชื้อไวรัส เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคเริม และโรคหัด
- สร้างระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความต้านทานการอักเสบโรคติดเชื้อในเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เพราะวิตามินซีช่วยรักษาจำนวนเม็ดเลือดขาวไม่ให้ถูกทำลาย
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อนุมูลอิสระ คือ ของเสียที่ร่างกายสร้างขึ้นอยู่ตลอดเวลา วิตามินซีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ป้องกันการทำลายระบบภูมิคุ้มกันและความเสียหายของเซลล์ ทำให้ชะลอความชราภาพเพิ่มความเยาว์วัย
- ช่วยร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก (Iron) ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือในผู้ป่วยที่ใช้แคลเซียมทดแทน
- ช่วยเปลี่ยนกรดโฟลิค (Folic Acid) ให้เป็นกรดโฟลินิคช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง และสำคัญมากในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
- ทำให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น เพราะวิตามิซีเพิ่มความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด ลดอาการบวมช้ำและอักเสบจากภายใน ไม่ว่าจะแผลเล็กจากการหกล้ม หรือแผลใหญ่อย่างกายผ่าตัด เป็นต้น
- เสริมภูมิต้านทานและช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ เป็นเพราะว่าช่วยเสริมสร้างการต่อต้านอุมูลอิสระและกำจัดเชื้อแบททีเรียแปลกปลอมในร่างกาย
เพื่อน ๆ จะเห็นได้ว่าวิตามินซีมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์อย่างมหาศาลเลยทีเดียว จึงไม่แปลกที่เราจำเป็นต้องต้องรับประทานวิตามินให้ได้ได้ทุก ๆ วัน บางคนอาจจะไม่ถนัดซื้อวิตามินมากินเอง เพราะไม่ทราบว่าจะต้องรับประทานกี่มิลลิกรัมดีจึงจะเพียงพอต่อร่างกาย เรามีทางเลือกให้กับคุณค่ะ ก็คือการรับประทานผลไม้หรือสมุนไพรช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันนั่นเอง แน่นอนว่าผลไม้ทุกชนิดในโลกล้วนมีวิตามินซีอยู่ด้วยเกือบทั้งหมด แต่ว่า ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงสุด นอกจากส้มที่ผู้ใหญ่ได้บอกพวกเรามานักต่อนักนั้นมีอะไรบ้าง
9 ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด
- มะละกอสุก (วิตามินซี70 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) นอกจากจะช่วยเรื่อแก้ปัสสาวะขัด แก้ท้องผูก เป็นยาระบายอ่อน ๆ รสชาติหอมหวานของมะละกอสุกยังมีวิตามินซีมากอีกด้วย จึงจัดว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินอาหารเสริมเพื่อสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ
- ลิ้นจี่ (วิตามินซี 71.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) นอกจากนี้นังมีวิตามินบี 1 ที่ช่วยป้องกันอาการเหน็บชา รสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่น
- กีวี (วิตามินซี 92.7 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) นักรักสุขภาพย่อมขาดไม่ได้ อัดแน่นไปด้วยโพแทสเซียมและโฟเลท
- แบล็คเคอร์แรนท์ (วิตามินซี 181 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) ช่วยผลิตแอนโธไซยานินที่บำรุงสายตาที่เมื่อล้า และวิตามินซีแบบจุก ๆ
- ฝรั่ง (วิตามินซี 228.3 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) รู้ไหมว่าบริเวณที่ฝรั่งให้วิตามินซีมากที่สุดคือเปลือก และวิตามินจะเริ่มเสื่อมลงเมื่อฝรั่งสุกงอมมากขึ้น
- มะขามป้อม (วิตามินซี 478.56 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ชาวอินเดียเรียผลไม้ชนิดนี้ว่า Amalaka แปลว่า พยาบาล ซึ่งเป็นเป็นยาอายุวัฒนะชั้นยอด แม้ว่าจะมีรสชาติฝาดไปสักหน่อย
- กูสเบอร์รี่ (วิตามินซี 700 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) หรือชื่อไทยน่ารัก ๆ เรียกว่าโทงเทงฝรั่ง รสเปรี้ยวอมหวานา ชุ่มฉ่ำ มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
- อะเซโรลา เชอร์รี่ (วิตามินซี 1,677.6 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) หน้าตาใกล้เคียงกับลูกเชอร์รี่แต่ลูกกลมและมนกว่า ผลของนั้นบอบบางมาก แต่รสชาติเปรี้ยวหวานอร่อยมาก เป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงสุดก็ว่าได้ แต่ยังมีอีกผลม้ที่วิตามินแรงแซงทางโค้ง นั่นก็คือ…
- ผลคามูคามู (วิตามินซี 2.4-3.0 ในเนื้อผลสด) เรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงสุดในโลกเลยค่ะ มีแหล่งกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ผลสุกมีสีแดงอมม่วงเข้มรสเปรี้ยว
เคล็ดลับการกิน ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดให้ได้ประโยชน์
- เลือกกินผลไม้สด ไม่ผ่านการแช่แข็ง แปรรูปหรือทำให้สุก สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่าการสายตัวของอนุมูลวิตามินซีบอบบางมาก เมื่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนไป การเกิดอาการหรือปฏิกิริยาต่าง ๆ ของเคมี ส่งผลโดยตรงให้วิตามินเสื่อมสภาพลงนั่นเอง
- กินผลไม้พร้อมอาหารหลักทุกมื้อ ก่อนหรือหลังอาหารได้ทั้งนั้น และรับประทานไม่น้อยกว่า 3-4 กำปั้นต่อวัน เช่น กีวีหนึ่งลูก ฝรั่งหั่น สองสามชิ้น เป็นต้น
- กินในปริมาณที่พอเหมาะ จากวิตามินเราอาจจะได้โทษกับร่างกาย ได้น้ำตาลสะสมในเลือดสูงมาแทนนะคะ
- ควรรอย่อย 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน และไม่ควรกินตอนดึกมากเกินไปเพราะกระเพาะอาจผลิตน้ำย่อยไม่ดีเท่ากับตอนกลางวัน อาจเกิดกากใยตกค้างและท้องอืดได้และเกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย
นอกจากนี้วิตามินซีที่ควรรับประทานต่อวันคือ 450 – 500 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไปตามการอ้างอิงขององค์กรณ์อาหารและยา แต่รับประทานมากกว่านี้ส่วนใหญ่วิตามินก็จะระบายออกมาได้เองผ่านทางเหงื่อและปัสสาวะเองตามธรรมชาติ หากมากเกินไปจะเกิดอาการท้องเสีย หายใจติดขัดได้ค่ะ
อ้างอิงจาก