อาหารที่ทำให้อ้วน รวมเมนูยอดฮิตแต่แคลอรี่สูงปรี๊ด
อาหารการกินนั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากๆ ในการดำรงชีวิต และยิ่งในปัจจุบันมีการผลิตอาหารที่แปลกประหลาดมากมายแล้ว ทำให้เราที่เป็นผู้บริโภค ควรศึกษาให้ดีว่า เราควรกินอะไร อะไรมีความจำเป็น อะไรไม่มี ลองมาดูเมนู อาหารที่ทำให้อ้วน เพราะอาหารไทยนอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยถูกลิ้นแล้ว ยังมี “แคลอรี่” สูงอีกด้วย ไปดูกันดีกว่าว่าอาหารแคลอรี่สูงที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง
1. ข้าวผัด
อาหารที่ทำให้อ้วน ส่วนใหญ่ก็คืออาหารประจำร้านขายอาหารตามสั่งที่ขายทั่วไป อย่างเมนูแรกก็คือ ข้าวผัด ซึ่งถือว่ามีคนสั่งเป็นอันดับ 1 เลยทีเดียว เพราะสั่งง่าย ทำง่าย กินง่าย ซึ่งส่วนประกอบก็มีแค่ หมู ไก่ หรือกุ้ง ตามแต่เราสั่ง และไข่ไก่ 1ฟอง แต่รู้หรือไม่ว่าแค่ข้าวผัดนั้นก็ปาไป 550 กิโลแคลอรี่แล้ว เพราะยังมีน้ำตาล น้ำมัน น้ำปลา และเครื่องปรุงอีกมากมายไงล่ะ
2. กะเพราไข่ดาว
กะเพราไข่ดาวก็เป็นอีกอาหารหนึ่งที่คนไทยชอบกินมากๆ ไม่ว่าจะไปร้านไหน ก็สามารถสั่งกระเพราไข่ดาวได้ ถามว่ากินแล้วอ้วนไหม พูดเต็มปากเลยว่า “อ้วน” เพราะแต่ละจานก็ 630 กิโลแคลอรี่แล้ว ต้องวิ่งประมาณ 10 กิโลเมตรเพื่อเผาผลาญเลยนะ ดังนั้น การทานกะเพราไข่ดาวก็ต้องอยู่ในความระมัดระวัง และทานให้พอเหมาะ
3. ข้าวหมูกระเทียม
ข้าวหมูกระเทียมเป็นอีกอาหารหนึ่งที่อร่อยมากๆ โดยเฉพาะหมูที่หมักน้ำมันหอย หรือหมักตามสูตรของแต่ละร้านนี่ เคี้ยวไปฟินไปเลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เป็นหมู มีกระเทียม และน้ำมันที่ในปริมาณมาก จึงให้มีแคลอรี่มากถึง 550 กิโลแคลอรี่
4. ผัดซีอิ๊ว
ผัดซีอิ๊วเป็นอาหารเส้นๆ ที่คนไทยชอบกิน และทุกคนก็คิดว่ามันไม่ให้พลังงานมากนัก เพราะมันไม่ค่อยมีน้ำมัน แต่ตัวที่มีพลังงานอันมากโขนั้นก็คือ “เส้นใหญ่” นั่นแหละ และด้วยความเป็นเส้นใหญ่นั้น ก็ทำให้ได้แคลอรี่มากถึง 690 กิโลแคลอรี่ต่อจานเลยทีเดียว
5. ราดหน้า
ใครได้ทานราดหน้าร้านที่ทำอร่อยๆ นี่ถือว่าดีมากๆ โดยเฉพาะทำมาร้อนๆ แล้วมีเครื่องดื่มซ่าๆ สักแก้วละก็ยังไงก็ถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอน และด้วยความที่ราดหน้ามีส่วนประกอบที่หลากหลาย มีการใส่นู่นนี่เยอะแยะ อย่างบะหมี่กรอบราดหน้ารวมมิตร 1 จาน แคลอรี่ในอาหารเท่ากับ 690 กิโลแคลอรี่ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
6. ผัดไทย
ผัดไท อาหารที่ต่างชาติให้การยอมรับและคนไทยหลายคนก็ชอบกินมากๆ เพราะอร่อย มีรสชาติที่หลากหลาย โดยผัดไทยอาจจะดูไม่เยอะ แต่รู้ไหมว่าแคลอรี่สูงไปถึง 800 กิโลแคลอรี่เชียวแหละ ซึ่งคิดว่าคงจะหนักไปที่เครื่องเคียงต่างๆ ที่ทำให้ค่าพลังงานมากขึ้นแบบนั้น สายไดเอตต้องเลี่ยงเมนูนี้เลยนะ
7. สุกี้
สุกี้ก็เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่ง ที่หลายคนชอบไปกินกันตามห้าง ตามร้านอาหารต่างๆ ซึ่งการรับประทานสุกี้นั้นหลายคนเชื่อว่าให้พลังงานที่น้อยมาก และอิ่มอร่อย แต่ถึงยังงั้นก็ยังให้มากพลังงานถึง 300 กิโลแคลอรี่ ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว แต่แนะนำให้ไม่กินวุ้นเส้น เพราะให้พลังงานที่สูง รวมถึงลดน้ำจิ้มต่างๆ ก็พอจะช่วยได้บ้าง
8. แกงเขียวหวาน
แกงเขียวหวานเป็นอาหารยอดฮิตที่หลายคนชอบกินมาก เพราะมีให้เลือกมากมายหลาย ทั้งมะเขือ ทั้งลูกชิ้น บางคนอาจจะใส่ปลากรายลงไปด้วย เพื่อเพิ่มความอร่อย โดยให้พลังงานอยู่ที่ 240 กิโลแคลอรี่ ไม่มากไม่น้อยถือว่ากำลังพอดี แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่เพราะกะทิในแกงก็เป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำให้อ้วนด้วย
9. ข้าวขาหมู
ข้าวขาหมู เป็นอาหารที่มีความน่ากินและความอร่อยสูงมาก โดยข้าวขาหมูคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกินกัน เพราะรู้ว่ากินแล้วจะให้แคลอรี่ที่สูง ซึ่งก็จริงเพราะให้มากถึง 530 กิโลแคลอรี่ ทำให้ปัจจุบันกลุ่มคนรักสุขภาพนั้นก็ได้หันมาเตือนกันแล้วว่าควรงดกินข้าวขาหมู เพราะทั้งหนังและเนื้อหมูฉ่ำๆ นั้นจะไม่ทำให้อ้วนได้อย่างไร
10. ข้าวมันไก่
ข้าวมันไก่ 1 จาน สามารถให้พลังงานได้มากถึง 600 แคลอรี่เลยทีเดียว ซึ่งข้าวมันไก่นั้นไม่ได้อ้วนที่ไก่ต้ม แต่อ้วนที่ข้าวมัน เพราะนอกจากข้าวจะให้พลังงานสูงแล้ว น้ำมันที่อยู่ในข้าวก็จะให้พลังงานที่สูงเหมือนกัน ทำให้ข้าวมันไก่เพียง 1 จาน มีแคลอรี่สูงมากๆ
นี่ก็เพียง 10 เมนู อาหารที่ทำให้อ้วน นอกจากจะมีแคลอรี่สูง ล้วนมีทั้งไขมันอิ่มตัวสูงและคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีนั้นเชื่อมโยงกับการเพิ่มของน้ำหนักและโรคอ้วน ซึ่งอาหารเหล่านี้ไม่ดีต่อสุขภาพของคุณและอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้ เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งบางชนิด ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากเกินไปและพยายามออกกำลังกายให้มากที่สุด
12 ของหวานยอดฮิต กินแล้วอ้วนแน่นอน!
นอกจาก อาหารที่ทำให้อ้วน แล้วลองมาดูฝั่ง ของหวานยอดฮิต กันบ้าง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วขึ้นชื่อว่าของหวานล้วนแล้วแต่ทำให้อ้วนสุด แต่ก็ยังเป็นที่โปรดปรานของหลายคนทีเดียว โดยเฉพาะสาวๆ เนี่ยแม้จะบ่นว่ากลัวอ้วน ถ้าได้ของหวานเมื่อไหร่ก็ไม่ปฏิเสธด้วย แถมของหวานยอดนิยมหลายชนิดก็ล้วนแล้วแต่มีปริมาณแคลอรี่สูงปรี๊ดจนน่าตกใจด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าสาวๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวกันสักเท่าไหร่ จนความอ้วนถามหานั่นแหละถึงได้รู้ตัวว่าตามใจปากมากไปแล้ว แล้วของหวานที่ว่าแม้จะมีแคลอรี่สูงมากแต่สาวๆ ก็ยังนิยมกินกันเหลือเกินนั้นจะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย
1. บิงซู
อันดับหนึ่งขอยกให้เจ้าน้ำแข็งไสสุดฮิตที่มีชื่อว่า บิงซู นี่ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นบิงซูสตรอเบอร์รี่ บิงซูช็อกโกแลต ล้วนมีแคลอรี่สูงทั้งนั้น ยังไม่นับสารพัดท็อปปิ้ง ทั้งชีสเค้ก ช็อกโกแลตชิ้นๆ บราวนี่ สตรอเบอร์รี่แบบจัดหนัก มะม่วงสุกแบบจัดเต็ม เพิ่มเติมด้วยซอสเยิ้มๆ เสริมด้วยนมข้น จัดหนักขนาดนี้เอาไปเลย 300–750 กิโลแคลอรี่โดยประมาณ
2. ฮันนี่โทสต์
อีกหนึ่งขนมหวานที่ระดับความพีคของแคลอรี่ไม่แพ้บิงซูเลยทีเดียวเชียวแหละ เพราะเจ้าขนมปังก้อนใหญ่นี่ราดเนยอย่างเยอะ ราดเพิ่มด้วยน้ำผึ้ง ท็อปปิ้งหวานๆ อีกเพียบ แล้วก็ยังมีวิปครีมตามมาด้วยไอศกรีมอีกนะ คิดเอาเองก็แล้วกันว่ามันจะหวานแสบคอกันขนาดไหน หวานเสียขนาดนี้เอาไป 800 กิโลแคลอรี่เลย
3. โรตีไข่ใส่นมข้นและน้ำตาล
ของหวานยอดนิยมอีกหนึ่งชนิด ที่เฉพาะแค่โรตีแผ่นเดียวก็แคลอรี่ไม่น้อยแล้ว นี่ยังจัดแบบครบสูตรกันเลยทีเดียว ทั้งนมข้น น้ำตาล ไข่ แล้วจะมีอะไรเหลือ จัดไป 590 กิโลแคลอรี่ก็แล้วกัน
4. ข้าวเหนียวมะม่วง/ทุเรียน
ขนมหวานแบบไทยๆ ที่เป็นขวัญใจของทั้งคนไทยและคนต่างชาติอย่าง ข้าวเหนียวมะม่วงและข้าวเหนียวทุเรียน ที่ลำพังแค่มะม่วงสุกกับทุเรียนก็หวานใช่ย่อยแล้ว นี่ยังบวกด้วยข้าวเหนียวมูลที่ระดับแคลอรี่สูงเข้าไปอีก หอมหวานมันขนาดนี้เอาไป 350–450 กิโลแคลอรี่
5. เค้กทุเรียน
เค้กทุเรียนเป็นอีกหนึ่งของหวานที่กำลังเป็นที่นิยมไม่น้อยไปกว่าใคร และที่ไม่น้อยเลยเช่นกันก็คือจำนวนแคลอรี่ที่เอาแค่ทุเรียนอย่างเดียวก็จัดว่าสูงแล้ว นี่ยังต้องรวมแป้งเค้กกับน้ำตาลอีกด้วยนะ เลยจัดไป 450 กิโลแคลอรี่ก็แล้วกัน
6. ซาลาเปาลาวา
ใครจะปฏิเสธแป้งหนานุ่มของซาลาเปากับครีมรสชาติหวานมันชวนรับประทานได้ ถึงแม้จะอดใจไม่ไหวเลยจัดไปแค่ 2 ลูก แต่เพียงเท่านี้แคลอรี่ก็พุ่งไม่เป็นสองรองใคร เพราะทั้งแป้งซาลาเปา กับครีมที่มีไข่และน้ำตาลเป็นส่วนผสม รวมกันแล้วก็ประมาณ 340 กิโลแคลอรี่เลยแหละ
7. เครปเย็น
เครปเย็นกับฮันนี่โทสต์นี่แทบจะไม่ต่างอะไรกันมากนัก เพราะจัดหนักทั้งแป้ง วิปครีม ไอศครีม แถมยังมีราดซอสไหนและมีท็อปปิ้งอีก แม้อร่อยขนาดไหน แต่ก็ให้แคลอรี่ถึง 450 กิโลแคลอรี่เลยนะ
8. ทองหยอด/ฝอยทอง
ขนมหวานลูกครึ่งไทยโปรตุเกสอย่างทองหยอดฝอยทอง มักจะเป็นที่นิยมอยู่เสมอในทุกเทศกาลงานบุญ แม้ส่วนผสมจะดูเหมือนไม่มีอะไรมาก หนักแค่ไข่กับน้ำตาล แต่ก็เต็มไปด้วยน้ำตาล! 340–430 กิโลแคลอรี่
9. ขนมปังไส้เยิ้ม
เจ้าขนมปังไส้ไหลทะลักนี่ดูเหมือนจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ หลายคนทีเดียว แม้จะดูเป็นขนมปังชิ้นเล็กๆ แต่แคลอรี่ไม่น้อยเลยยิ่งถ้าเป็นพวกไส้หวานๆ อย่างช็อกโกแลตด้วยแล้วยิ่งต้องระวังเลยล่ะ สาวๆ ที่ชอบกินขนมปังไส้เยิ้มมากกว่า 1 ชิ้นเพราะเห็นเป็นชิ้นเล็กๆ ก็ให้ระวังไว้ให้ดีๆ เพราะแค่ชิ้นเดียวก็ได้แคลอรี่ถึง 320 กิโลแคลอรี่เลยแหละ
10. บราวนี่
บราวนี่เป็นขนมอีกหนึ่งชนิดที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมมากพอที่จะทำให้อ้วนจนเสื้อผ้าของคุณคับจนใส่ไม่ได้กันเลยทีเดียว และยิ่งคุณชอบบราวนี่แบบเนื้อเยิ้มๆ ด้วยแล้ว คงจะได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่กันหลายชุดเลยแหละ เพราะบราวนี่แค่ชิ้นเดียวก็มีแคลอรี่มากถึง 350 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว
11. ชานมไข่มุก
ของหวานที่ใครหลายคนนิยมซื้อมากินหลังมื้ออาหารอย่างชานมไข่มุก เป็นอีกหนึ่งของหวานที่ทำให้คุณอ้วนได้จากการดื่มเพียงแก้วเดียว เพราะแค่ไข่มุกอย่างเดียวประมาณ 30 กรัม ก็ให้พลังงานมากถึง 100 กิโลแคลอรี่เลยนะ นี่ยังมีส่วนผสมของนมกับน้ำตาลในชาอีก พูดได้ว่าดื่มชานมไข่มุกแก้วเดียวก็ได้ถึง 360 กิโลแคลอรี่เลยละกัน
12. ไอศกรีมช็อกโกแลต
แค่ไอศกรีมอย่างเดียวแคลอรี่ก็จัดว่าสูงแล้ว แล้วถ้าพ่วงมาด้วยสารพัดท็อปปิ้งที่ประเคนใส่เข้าไปทั้งช็อกโกแลตไซรัป ช็อกโกแล็ตบอล ช็อกโกแลตแท่ง น้ำตาลสีรุ้ง ลูกเชอรี่ แล้วไหนจะมีวิปครีมอีก ไม่ต่ำกว่า 300 กิโลแคลอรี่แน่ๆ
การกินหวานมากเกินไปนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานด้วยนะ จะให้ดีก็เอาแค่พอประมาณ นานๆ กินทีก็ได้ หรือแบ่งกันกินหลายๆ คนเอาแค่ให้ลิ้นได้ลิ้มรสจะดีกว่ากินคนเดียวนะ เพราะถ้าปล่อยให้น้ำหนักตัวพุ่งพรวดมันก็ไม่ได้ลดกันง่ายๆ เหมือนกัน
วิธีลดความอ้วนง่ายๆ 10 วิธี แบบนี้ก็ได้เหรอ
วิธีลดความอ้วนง่ายๆ 10 วิธี แบบนี้ก็ได้เหรอ สำหรับคนที่เคยผ่านการลดน้ำหนักมาแล้วหลายๆ แบบ แต่กลับค้นพบว่า มันไม่สำเร็จ นั่นเป็นเพราะเราอาจจะยังไม่จริงจังพอ หรือไม่ก็ยังจัดการกับตารางชีวิตและการควบคุมน้ำหนักได้ไม่ดี ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนอาจจะเริ่มท้อ แต่อย่าพึ่งรีบท้อใจไป เพราะเรามีอีกหลายๆ เทคนิคเลยทีเดียวที่มาแนะนำกัน เมื่อนำมาทำร่วมกันแล้วน้ำหนักลดลงอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ส่วนจะมีวิธีการไหนบ้างไปดูกันดีกว่า
1. ออกกำลังกาย
ออกกำลังกาย แน่นอนว่าถ้าอยากผอม เรื่องของการออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ต้องทำให้เป็นนิสัย เพราะการลดอาหารอย่างเดียวอาจจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณฝ่อได้ แต่การออกกำลังกายจะช่วยเปลี่ยนพลังงาน และสารอาหารที่กินเข้าไป ให้อยู่ในรูปของกล้ามเนื้อ
ซึ่งสิ่งที่คุณจะได้ ก็คือ รูปร่างที่น่ามอง มากกว่าการเป็นคนที่อดอาหารจนผอมโซ และนอกจากนี้แล้วการออกกำลังกาย ยังจะช่วยให้คุณเป็นคนหุ่นดี และมีความกระฉับกระเฉงไปในเวลาเดียวกัน เป็นเทคนิคการลดความอ้วน ง่ายๆ ที่ดีกว่าการเป็นสาวผอมที่ดูอ่อนแอขี้โรคเป็นไหนๆ
2. จดบันทึกกิจวัตรประจำวัน
จดบันทึกกิจวัตรประจำวัน หลายคนอาจจะจดแค่อาหารที่กินเข้าไป เพื่อคำนวณปริมาณของพลังงานที่ใช้ และอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน แต่หากคุณลองจดบันทึกเรื่องของการออกกำลังกายในแต่ละวันลงไปด้วย จะช่วยให้คำนวณได้ง่ายขึ้นว่า ควรกินอาหารมากแค่ไหน ถึงจะเพียงพอจริงๆ และไม่เหลือเป็นไขมัน และน้ำตาลสะสมในร่างกาย
แต่เราไม่ได้บอกให้คุณซีเรียสกับชีวิตจนถึงขนาดว่าต้องจดทุกสิ่งอย่าง เพราะนั่นจะทำให้การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ทรมาน และไม่มีความสุข เราอยากจะให้เน้นจดแต่เรื่องที่สำคัญจริงๆ เพื่อที่สุดท้ายแล้ว คุณจะได้มีแรงบันดาลใจในการทำการลดน้ำหนักต่อไป
3. หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์
หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ หากกำลังลดน้ำหนักแล้วท้อ แนะนำว่าควรคุยกับเพื่อนที่กำลังจริงจังกับการลดน้ำหนัก เพราะพวกเขาจะทำให้คุณรู้สึกว่า ตัวเองต้องพยายามให้มากกว่านี้หรือท้อไม่ได้ ที่สำคัญคือ คุณจะได้มีเพื่อนที่ให้คำปรึกษา และแลกเปลี่ยนในเรื่องของเทคนิคต่างๆ ในการลดน้ำหนักด้วย แต่ต้องดูด้วยว่าเพื่อนลดน้ำหนักของคุณต้องเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีได้ด้วย ไม่ใช่คนที่เอาแต่บ่น เพราะจะทำให้หมดกำลังใจกันไปเสียก่อน
4. มื้อเช้าสำคัญมาก
มื้อเช้าสำคัญมาก คนลดน้ำหนักส่วนใหญ่ชอบอดอาหารโดยเฉพาะมื้อเช้า เพราะว่าเพิ่งตื่นยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วมื้อเช้าถือว่าสำคัญมากทั้งต่อร่างกายและสมอง เพราะหากไม่กินมื้อเช้า นอกจากสมองจะทำงานหนักแล้ว ยังส่งผลให้คุณเกิดอาการโหย และอยากอาหารมากเกินปกติ จนส่งผลให้กินอาหารมากไปในมื้อถัดไปหรือตอนเที่ยง และทำให้เกิดอาการง่วงเหงา ในช่วงบ่ายจนขาดประสิทธิภาพในการทำงาน
5. โปรตีนห้ามขาด
โปรตีนห้ามขาด คนส่วนใหญ่ชอบเข้าใจว่า เมื่อจะลดน้ำหนักควรงดอาหารจำพวกแป้ง และเนื้อสัตว์ไปเลย แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ต้องงดจริงๆ คือ แป้ง ไขมัน และน้ำตาลต่างหาก เพราะโปรตีนจะช่วยในการเปลี่ยนแป้งเหล่านี้ให้กลายเป็นกล้ามเนื้อ และช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายด้วย ดังนั้นในทุกมื้ออาหารของคุณจำเป็นต้องมีโปรตีน ถึงแม้ว่าคุณจะลดน้ำหนักอยู่ก็ตาม คุณอาจเลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนก็ได้
6. เสริมแคลเซียมให้เพียงพอ
เสริมแคลเซียมให้เพียงพอ ปกติเมื่อลดน้ำหนัก ร่างกายของเราจะสูญเสียแคลเซียมจากการลดอาหารบางชนิด การกินแคลเซียมเสริม นอกจากจะช่วยให้ไม่เกิดภาวะกระดูกพรุนจากการลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย
7. แบ่งเป็นกินหลายมื้อ
แบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ แทนที่จะกินมื้อใหญ่ 3 มื้อ คุณอาจจะแบ่งการกินอาหารในระหว่างวัน เป็นมื้อเล็กๆ สัก 4-6 มื้อ แต่ต้องคำนวณปริมาณของพลังงานที่จะได้รับให้เท่ากับการกินมื้อใหญ่ด้วย และเชื่อหรือไม่ว่าคนที่กินมื้อเล็กๆ แต่ถี่มีการลดน้ำหนักได้เร็วกว่าคนที่กินมื้อใหญ่ๆ มากทีเดียว
8. กินอาหารให้หลากหลาย
กินอาหารให้หลากหลาย การกินแต่อาหารประเภทเดียวซ้ำๆ ในช่วงแรกอาจจะลดน้ำหนักได้เร็ว แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งนอกจากน้ำหนักจะไม่ลงแล้ว ยังอาจจะมีอาการขาดสารอาหารอีกด้วย การกินอาหารให้หลากหลาย จะช่วยให้การลดน้ำหนักทำได้ง่ายกว่าเดิมมาก
เพราะอาหารที่ได้รับไม่จำเจจนน่าเบื่ออีกด้วย และสำหรับในส่วนของคนที่กิน อาหารคลีน อาหารออร์แกนิค อาจจะไม่จำเป็นต้องคลีนจัดทุกมื้อก็ได้ อาจจะมีสักมื้อใน 1 วันต่อสัปดาห์ ที่เป็นมื้อผ่อนคลาย หรือที่คนลดน้ำหนักหลายคนเรียกว่าชีทเดย์ คือ วันที่พักจากการลดน้ำหนัก แล้วหันมากินสิ่งที่อยากกิน
9. อย่าชั่งน้ำหนักทุกวัน
อย่าชั่งน้ำหนักทุกวัน เพราะการกดดันตัวเองด้วยการชั่งน้ำหนักทุกวัน นอกจากจะไม่เป็นผลดีกับสุขภาพจิตของคุณแล้ว ยังทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผลอย่างที่คิดด้วย ดังนั้นเก็บเครื่องชั่งน้ำหนักของคุณลงไปในตู้แล้ว ดูที่การลดลงของรูปร่างและสัดส่วนจะดีกว่า
10. ให้รางวัลตัวเอง
ให้รางวัลตัวเอง เมื่อลดน้ำหนักได้ถึงเป้าหมายแล้ว อย่าลืมให้รางวัลตัวเอง ด้วยเสื้อผ้า การท่องเที่ยว การดูหนัง หรืออะไรก็ตามแต่ที่ชอบ แต่ห้ามให้รางวัลตัวเองเป็นอาหารเด็ดขาด เพราะจะทำให้อ้วนเหมือนเดิม
การลดความอ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย หากคุณมีวินัย และความตั้งใจที่มากพอ และการลดน้ำหนักไม่ได้ส่งผลต่อรูปร่างของคุณเพียงอย่างเดียว ยังส่งผลไปยังเรื่องของสุขภาพโดยรวมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด การรักษาน้ำหนักให้เหมาะสมจะช่วยให้โรคเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยลง
อ้างอิง
http://www.sanook.com/men/558/
